ปรึกษาเรื่องเอดส์และท้องไม่พร้อม โทร 1663

ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตใหม่!

By nuttynui 11 มี.ค 2562 14:06:22
 
ตาว

ผู้รับบริการอายุ 39 ปี ทางภาคใต้ โทรเข้ามาปรึกษาที่สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม 1663 หลังจากที่อาสาสมัครรับฟังเรื่องราวแล้ว ผู้รับบริการรายนี้ถูกส่งต่อมายังเจ้าหน้าที่ด้วยเรื่องปัญหาค่าใช้จ่ายเหมือนผู้รับบริการรายอื่นๆ  

การพูดคุยดำเนินไปตามปกติ แนวทางการช่วยเหลือก็ใกล้เคียงกับรายอื่นๆ จนมาถึงจุดหนึ่งที่ผู้รับบริการบอกว่า “หนูท้องกับลูกชายแท้ๆ” แม้เราจะไม่แปลกใจ เพราะอาสาสมัครได้แจ้งข้อมูลบางส่วนมาให้ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากบันทึกในกระดาษ  คืออารมณ์และความรู้สึกของเขา ที่รับรู้ได้ผ่านทางเสียงโทรศัพท์

“...หนูทนไม่ได้ แต่มันพลาดไป...ถ้าเขาไม่สมบูรณ์ ถ้าเขาผิดปกติ หนูจะทำยังไง หนูจะตอบคนอื่นยังไง หนูจะต้องนั่งมองเขาไปแบบนั้นตลอดชีวิตเลยหรอ... ถ้าท้องกับคนอื่น หนูจะไม่มีปัญหาเรื่องท้องต่อเลย แต่นี่หนูเอาไว้ไม่ได้จริงๆ...

และนี่คือเรื่องราวของเธอ

เมื่อปีที่แล้ว เธอได้เจอกับลูกชายวัย 18 ปี ที่ไม่เคยเจอกันมาเลยก่อนหน้านี้ เพราะทางบ้านฝ่ายชายรับไปดูแลตั้งแต่แรกคลอด ส่วนเธอก็เริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่อีกครั้ง และมีลูกสาว 1 คน ตอนนี้อายุ 13 ปี และก็ได้เลิกรากับพ่อของลูกสาวไปตั้งแต่ก่อนที่จะพบลูกชายเสียอีก

ตั้งแต่แรกเจอ เธอรู้สึกรักผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก และไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น อีกฝ่ายก็เช่นกัน นานวันเข้าความใกล้ชิด ความเป็นห่วงเป็นใย และอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ความรู้สึกของทั้งสองเปลี่ยนไป จนเกิดมีสัมพันธ์กันขึ้น เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดขึ้นอีก แม้เธอจะขอหยุดความสัมพันธ์ และอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกว่ามันก็คือความรัก แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะสานสัมพันธ์นี้ต่อไปได้อีก จึงตัดสินใจลดความสัมพันธ์และพยายามจะตีห่างออกมา

หลังจากลดความสัมพันธ์ลง ประจำเดือนของเธอก็ขาดไป และเมื่อลองตรวจดูก็พบว่า “ตั้งครรภ์” ตอนนั้น ความรู้สึกที่เธอเล่า เรารับรู้ได้ถึงความสับสน เสียใจ ความทุกข์ มันถูกส่งผ่านมาทั้งหมดว่าเขาจะทำยังไง เด็กจะปกติไหม จะบอกชาวบ้านยังไง ในเมื่อทุกคนรู้ว่าเป็นหม้าย แล้วเด็กล่ะ เด็กที่ไม่รู้อะไรจะต้องถูกตราหน้าไหม แล้วถ้าลูกสาวรู้จะเป็นยังไง เขาจะคุยกับใครได้ จะหยุดท้องนี้ได้หรือเปล่า เขาจะขอความช่วยเหลือจากใคร หรือจะลองคบคนอื่นให้คนแถวบ้านเห็น จะได้ให้เป็นลูกของคนนั้นไป ซึ่งเธอคิดไปต่างๆ นานา  

เธอรู้สึกรังเกียจตัวเอง  แต่กับลูก เธอรักเขามาก แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คิดว่าคงไม่มีใครยอมรับ สังคมไม่ยอมรับ จึงตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์นั้น แต่ตอนนี้ เธอ “ท้อง” และไม่กล้าออกไปไหนเลย เนื่องจากตอนนี้ท้องเริ่มใหญ่ขึ้น ไม่กล้าไปอัลตราซาวด์ ไม่กล้าไปโรงพยาบาล เพราะกลัวคนเห็น กลัวมีประวัติ ไม่กล้าออกไปพบใคร เนื่องจากกลัวคนสงสัย จึงอยู่แต่ในห้อง จนลูกสาวเริ่มสงสัยแล้วว่าแม่เป็นอะไร

เธอบอกกับเราว่า “หนูเคยคิดว่าถ้ามันไม่มีทางออกจริงๆ หนูก็จะฆ่าตัวตายให้มันจบๆ ไป แต่หนูทำไม่ได้ หนูห่วงลูกสาว ส่วนลูกชาย เขาก็รู้ เขาก็เสียใจ แต่ก็เอาไว้ไม่ได้จริงๆ”

ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เพราะตั้งแต่รู้ว่าท้องก็ทำงานไม่ได้เลย ไหนจะรถที่ต้องใช้ในการทำงานก็กำลังจะโดนยึด เพราะค้างค่างวดมา 3 งวดแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องให้ลูกสาวไปโรงเรียนอีก โดยหยิบยืมคนแถวบ้านแทบจะครบทุกคน จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหยิบยืมจากใครได้อีก

เราทำเรื่องขอกองทุนให้สำหรับกรณีเช่นนี้ โดยให้เขาเข้ามารับบริการที่ กทม. ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่า เนื่องจากไม่ทราบอายุครรภ์ที่แน่ชัด  

หลายวันต่อมา เรารู้ข่าวมาว่า เธอมาเข้ารับบริการแล้ว ด้วยอายุครรภ์ 13 สัปดาห์ และหลังออกจากโรงพยาบาล เธอก็โทรมาแจ้งว่า “ยุติการตั้งครรภ์เรียบร้อยแล้ว”

หลังจากได้คุยกัน สิ่งแรกที่ทำคือเธอถอนหายใจ ซึ่งเรารับรู้ได้ถึงความคลายกังวล เธอบอกกับเราว่า “ขอบคุณพี่มากจริงๆ ขอบคุณพวกพี่ทุกคน ขอบคุณพี่ที่โรงพยาบาล ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่หนู หนูจะทำงานได้แล้ว”

“แต่ก่อนหนูไม่เคยเข้าใจคนที่ทำแบบนี้เลย แต่ตอนนี้หนูรู้แล้ว ขอบคุณมากนะคะ”

...

จากเสียงลมหายใจที่ติดขัดเมื่อครั้งก่อน ความเจ็บปวด ความสับสน และความทุกข์ต่างๆ ที่ส่งผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นเสียงลมหายใจที่ลึกขึ้น โล่งขึ้น ไม่ติดขัด พร้อมเสียงที่เปล่งใส

ขอบคุณ “เธอ” เช่นกัน ที่ทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้น ขอบคุณที่เปิดใจกับเรา ยินดีด้วยจริงๆ ที่ก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้

“ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตใหม่นะ”



 
*** ความคิดเห็นของผู้เขียนอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้อง หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกองบรรณาธิการ ***
-->