จ๋า24
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ฉันมาให้บริการที่สายปรึกษา 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม ฉันรับสายคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขายิงคำถามแรกแบบไม่ทันให้ตั้งตัวว่า
“พี่คิดยังไงกับคนที่เป็นเอดส์”
เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ฉันคิด แต่คำถามแนวนี้มักจะมีเรื่องราวแฝงอยู่ จึงตอบไปก่อนว่า
“พี่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ เอชไอวีไม่ได้เป็นเรื่องใหม่นะ เเล้วน้องล่ะคะ คิดยังไง?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
มีความเงียบระหว่างเราเกิดขึ้นชั่วขณะ และปลายสายก็พูดว่า
“ผมเป็นแหละพี่ เป็นมา 6 ปีแล้ว แต่ไม่ได้รักษานะ ผมดูแลร่างกายผมดี”
ฉันยังไม่ได้ถามสาเหตุของการที่ชายหนุ่มคนนี้ไม่เข้ารับการรักษา รู้สึกเพียงว่า เขาต้องการที่จะเล่า แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้สักพัก เขาก็บอกว่า
“ตอนนี้ผมมีความรัก ผมไม่รู้จะบอกคนที่ผมคบด้วยยังไง ผมอยากรักษา ผมอยากมีอนาคตกับคนที่ผมรัก”
ฉันได้แต่คิด... บางครั้งการบอกเรื่องผลเลือดของตัวเองนี่ก็คงลำบากจริงๆ นะสำหรับบางคน จากนั้น ฉันจึงชวนคุยต่อถึงแผนในใจของเขา เขาบอกว่า คิดที่จะไปหาหมอ แต่...
“ผมอาย ไม่รู้ว่าอายอะไร แต่อาย พี่ไปเป็นเพื่อนผมได้ไหม?”
แม้ในใจฉัน อยากบอกว่า ฉันอยากไปเป็นเพื่อนทุกคนที่ต้องการเพื่อนไปหาหมอเลยนะ แต่ท้ายแล้ว เราก็สรุปกันว่า หมอน่าจะเจอผู้ติดเชื้อฯ หลายคนจนชินแล้วล่ะ
พอคุยไปสักพัก เมื่อชายหนุ่มเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น จึงเล่าว่า
“ที่จริง ผมเคยไปหาหมอบ้างแล้วล่ะ ผมถามอะไร หมอก็ไม่บอก ไม่คุยเหมือนพี่เลยนะ บอกแต่ให้กินๆ ยาไปเหอะ แล้วมาให้ตรงนัด ถามอะไรก็ทำเหมือนจะด่าผม ผมเลยไม่อยากไปอีก พยาบาลหน้าห้องก็ทำท่ารังเกียจ แล้วทำยังไงผมถึงจะได้กินยา ผมไม่อยากป่วย ผมอยากมีอนาคตกับแฟน”
หลายครั้ง ที่ฉันรับโทรศัพท์ และได้ฟังเรื่องราวของผู้รับบริการ ก็เห็นว่า มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีหลายคนที่เสียโอกาสจากการรักษา ด้วยท่าทีของบุคลากร หรือการถูกปิดกั้นข้อมูล ไม่ให้ข้อเท็จจริง ทั้งที่คนไข้มีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่หรือว่าเขากินยาอะไร? ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงกับเขายังไง? เเละเขาควรจะได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับโรคและการดูแลตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ คนไข้หลายคนก็ต้องการปรึกษาหมอ แต่หมอก็ดูจะเร่งรีบ เพราะมีคนไข้อีกมากมายที่รอตรวจ
นอกจากที่ชายหนุ่มคนนี้จะไม่กล้าไปหาหมอ ทั้งๆ ที่อยากจะรับการรักษาด้วยยาต้านฯ แล้วก็ตาม เขายังเครียดเรื่องแฟนอีกด้วย เขาเล่าเพิ่มเติมว่า เขาเคยทิ้งผู้หญิงที่เขารักมาแล้ว 2 คน เพราะไม่รู้จะบอกเรื่องโรคประจำตัวของเขายังไง เขากลัวว่าแฟนจะรังเกียจ
แต่สำหรับครั้งนี้ เขาคิดว่าจะรวบรวมความกล้า ลองบอกแฟนถึงความลับข้อนี้ของเขาดู
แต่... ขอกินยาก่อนนะ
ก็อีกนั่นล่ะ เราวนกันกลับมาที่จุดเดิม คือ เขาไม่กล้าไปหาหมอ!
“พี่รู้มั้ย? ผมรู้สึกดีมากเลยที่ได้คุยกับพวกพี่ ผมไม่รู้จะคุยกับใคร กลัวเขารังเกียจเอา ผมจะโทรมาอีก จนกว่าผมจะกล้าไปหาหมอได้มั้ย?”
“ได้อย่างแน่นอนค่ะ” ฉันตอบ พร้อมกับแอบหวังในใจว่า การได้คุยกับสายด่วน 1663 จะทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น จนจัดการความรู้สึกภายในใจ ทั้งการไม่กล้าไปหาหมอ หรือการกลัวโดนรังเกียจได้
ฉันได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไหร่นะ คนสังคมจะเข้าใจว่าเชื้อเอชไอวีไม่ได้น่ากลัว และเป็นการป่วยที่ไม่ติดต่อกันจากการอยู่ร่วมบ้าน หรือทานอาหาร/เข้าห้องน้ำร่วมกับผู้ติดเชื้อฯ ส่วนการใช้ชีวิตคู่ก็ทำได้ คือ ใช้ชีวิตปกติแหละ แต่เพิ่มถุงยางมาช่วยป้องกันการส่งต่อ – รับเชื้อฯ หน่อย แล้วถ้าอยากมีลูก ก็ได้นะ แต่ควรปรึกษาหมอ เพื่อวางแผนการมีลูกก่อน
หลังจากวางสาย ฉันก็ไม่รู้ว่า จะได้คุยกับเขาอีกหรือไม่ แต่ก็มั่นใจว่า ไม่ว่าเขาจะได้คุยกับใคร ทั้งคุยทางโทรศัพท์ หรือแชทคุยทางเพจ ทุกคนก็ยินดีรับฟังเขา และพร้อมที่จะจับมือเขาพากันไปจนสุดทาง ให้เขาได้เข้ารับการรักษา และมีคุณภาพชีวิตที่ดีแน่นอน
ขอให้โชคดีกับความรักนะคะ!
*** ความคิดเห็นของผู้เขียนอาจไม่จำเป็นต้องสอดคล้อง หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกองบรรณาธิการ ***